การทานมิใช่ได้บุญน้อยที่สุด

            ผมได้ฟังการเทศนาของพระสงฆ์ และบุคคลที่ยกเอาการเปรียบเทียบบุญของ การทาน การรักษาศีล และการนั่งสมาธิภาวนา แต่ก็ยังรู้สึกหดหู่ในใจอยู่เป็นอันมาก เพราะท่านเหล่านั้นได้ยกเอาข้อเปรียบเทียบเรื่องการทำบุญเพื่อให้ได้กุศลมาก น้อย แตกต่างกัน (แม้จะอ้างว่า เป็นพุทธดำรัส)

          แต่ถ้าใครได้ศึกษาในเรื่องการทำบุญโดยละเอียดแล้ว มันไม่ได้มีเท่าเพียงหัวข้อที่ยกมา รายละเอียดของการทำบุญ และอานิสงที่ได้รับนั้น ก็แตกต่างกันตามเจตนา การทาน รักษาศีล และภาวนานั้น เป็นเพียงบุญ 3 ข้อจากทั้งหมด 10 ข้อ (หรือเรียกว่าบุญทั้ง 10) แต่ก็ถืว่า ทั้ง 3 ข้อนี้เป็นหัวใจสำคัญ เพราะจะเป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์พื้นฐานอันจะนำให้เห็นหนทานแห่งการดับทุกข์

การทาน ก็ให้ทานเพื่อกำจัดความขี้เหนียว ความตระหนี่ (ทั้งวัตถุทาน แรงงานทาน ธรรมทาน) บุคคลที่มีทานเป็นทาน ย่อมเป็นผู้ไม่อดยาก แต่ถ้าหากทานโดยเป็นไปเพื่อกำจัดกิเลสแล้ว อานิสงนี้จะนำไปสู่กระแสแห่งพระนิพพาน
  
การรักษาศีล ย่อมเป็นการสำรวมกาย วาจาใจ ไม่ให้ประมาทต่อการตกสู่โลกที่ชั่ว เป็นการทำให้สะอาด ผ่องใส และพร้อมสำหรับการบำเพ็ญเพียร 
ส่วนการบำเพ็ญเพียรภาวนานั้น ควรใช้สมาธิอันสงบ เป็นฐานกำลำงแห่งจิตแล้วนำกำลังนั้นมา สำรวจ อบรม จิตของตนเอง ขูดกิเลสออก ด้วยปัญญาอันเกิดจากวิปัสสนานั้น 
          จึงอยากบอกว่า การทานมิใช่ได้บุญน้อยที่สุด แต่เพราะการทานที่เราเข้าใจกันนั้น อานิสงมักจะได้รับเป็นเงินทอง สิ่งของกลับคืนมา ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคนเรา ให้เรากินดี อยู่ดี แต่ที่ท่านมากว่าได้บุญน้อย เพราะว่า บุญนี้เป็นองค์ประกอบที่จะนำเราไปสู่กระแสแห่งพระนิพานได้ช้ากว่าการรักษาศีล และการบำเพ็ญเพียรทางจิต แต่เป็นบุญที่เป็นองค์ประกอบอันสำคัญที่ขาดไม่ได้เช่นกัน
          อย่างไรก็ตาม การกระการใดๆ โปรดอย่าลืม มรรคทั้ง 8 ที่เรียกว่า มรรคมีองค์ 8 และให้ดำเนินไปในทางสายกลาง ทางสายกลางของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกันไป อย่าได้ทำแข่งขันกัน พระพุทธองค์ จึงสอนเราให้ใช้ปัญญา อย่าหลงทางเด็ดขาด บุคคลที่ดำเนินไปตามคำสอนของพระพุทธองค์ ย่อมมีจิตผุดผ่อง สดชื่น ปกติสุขทั้งกาย วาจาาใจ มิใช่เกิดการทะเลาะ หมองเศร้า อดยาก หรืออ่อนเพลีย จากการปฏิบัติธรรม

มรรคมีองค์ 8

มรรคมีองค์8 หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง 
      ทางสายกลาง พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบ และนำไปสู่ความสงบ ญาณ การตรัสรู้ และนิรวาณะ (พระนิพพาน) ทางสายกลางนี้โดยทั่วไปหมายถึง หนทางอันประเสริฐ มีองค์ประกอบอยู่ 8 ประการ

1. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ เห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ว่าทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รู้อริยสัจจ์ 4 หรือ เห็น ไตรลักษณ์ หรือ รู้ อกุศลและอกุศลมูล กับกุศลและกุศลมูล หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท 

2. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ตั้งใจชอบ ความคิดชอบ ความคิดถูกต้อง หมายถึง 3 ข้อ คือ
• อวิหิงสาสังกัปปะ ความดำริในอันไม่เบียดเบียนผู้อื่น 
• อัพยาปาทสังกัปปะ ความคิดดำริในอันไม่ผูกพยาบาทป้องร้ายผู้อื่น
• เนกขัมมสังกัปปะ ความคิดดำริในอันจะปลดเปลื้องทางกาม

3. สัมมาวาจา เจรจา หรือวาจาชอบ พูดจาชอบ สำรวมระวังในการพูด 
วจีสุจริต 4 คือ
• ไม่พูดคำเท็จทำให้ผู้อื่นเสียหาย พูดแต่คำสัตย์คำจริง 
• ไม่พูดส่อเสียด ให้คนอื่นเข้าใจผิดทะเลาะกัน แตกความสามัคคี
• ไม่พูดคำหยาบ 
• ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดจาเหลวไหล ไร้สาระประโยชน์

4. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ ทำงานชอบ ประพฤติชอบทางกาย
กายสุจริต 3 อย่าง คือ
• เว้นจากความโหดเหี้ยม ฆ่า ทำร้ายผู้อื่น
• เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยการขโมย
• เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ยินดีแต่ในภรรยาของตน (สทารสันโดษ) จงรักภักดีแต่ในสามีของตน (ปติวัตร)

5. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพโดยสุจริต ไม่ผิดกฎหมาย และศีลธรรมอันดีงาม เว้นการค้าขายที่ผิด (มิจฉาวณิชชา 5)
• ค้าขายเครื่องประหาร เช่น อาวุธต่าง ๆ
• ค้าขายมนุษย์
• ค้าขายเนื้อสัตว์ เลี้ยงสัตว์ เพื่อฆ่าแล้วนำเนื้อไปขาย 
• ค้าขายสุราน้ำเมา ยาเสพติด
• ค้าขายยาพิษ หรือสารพิษ 

6. สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ พยายามชอบ หมายถึงความเพียร 4 อย่าง คือ ปธาน หรือ สัมมัปปธาน 4 
• สังวรปธาน เพียรระวัง มิให้ความชั่วที่เป็นบาปอกุศล เช่นความโลภ โกรธ มหลง เกิดขึ้น
• ปหานปธาน เพียรพยายาม ละความชั่วร้ายที่เป็นบาปอกุศลซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วให้หมดสิ้นไป
• ภาวนาปธาน เพียรพยายาม ก่อสร้างความดีที่เป็นบุญกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้น เช่นการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
• อนุรักขนาปธาน เพียร รักษาคุณความดีที่เป็นบุญกุศลที่ได้ทำแล้วที่มีอยู่แล้วไม่ให้ลดน้อยลง 

7. สัมมาสติ ความระลึกชอบ หมายถึง การสำรวมใจ หรือทำใจให้สงบตามแนวสติปัฏฐาน (ที่ตั้งแห่งจิต) ทั้ง 4 
เป็นการพิจารณาให้รู้เห็นเนื่องๆ เพื่อมิให้เกิดความยึดมั่นถือมันในร่างกาย ความรู้สึก จิตใจและธรรม ทั้งที่เป็นฝ่ายกุศลหรืออกุศล กล่าวคือ
สติปัฏฐาน 4 
• พิจารณาเห็นกายในกาย (กายานุปัสสนา)ที่เรียกว่า กองรูป พิจารณา ลมหายใจ อิริยาบถ การเคลื่อนไหล ความเกิดดับของร่างกาย เห็นความจริงว่า ไม่มี ตัวตน เรา เขา 
• พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา (เวทนานุปัสสนา) กำหนดรู้เรื่องของเวทนา เวทนา คือ ความสุข ความทุกข์และเฉย ๆ ว่าเวทนาเกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่อย่างไร ดับไปอย่างไร 
• เห็นจิตในจิต (จิตตานุปัสสนา ) รู้ทันความเคลื่อนไหวของจิต จิตโกรธก็รู้ว่าจิตโกรธ จิตลุ่มหลง จิตหดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ 
• เห็นธรรมในธรรม (ธัมมานุปัสสนา) คล้ายกับเห็นจิตในจิต อารมณ์ที่เป็นเป้าหมายของใจ การรู้สิ่งที่มีอยู๋ในจิต เช่น จิตมีนิวรณ์ (กามฉันทะ พยาบาทถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และ วิจิกิจฉา)นิวรณ์เกิดขึ้นในจิต มีอยู่ในจิต ดับไปจากจิต ไม่ว่าจะเป็นกุศลธรรมหรืออกุศลธรรม ก็ให้เห็นความจริงว่าเป็นเพียงสักแต่ว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
      สติปัฏฐานนี้เอง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า "เป็นทางเอกหรือทางเดียว เพราะเป็นทางปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามให้พ้นซึ่งความโศกหรือ ปริเทวนาการ เพื่อบรรลุญาณและเพื่อทำพระนิพพานให้ให้ปรากฏแจ้ง"

8. สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบ สมาธิชอบ การเจริญสมาธิตามแนวของฌาน 4

 

วันเปิดตัว Windows 95

             24 สิงหาคม ค.ศ.1995 บ.ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัวสินค้าใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งก็คือระบบปฏิบัติการ Windows 95 หลังจากเปิดตัวได้ 4 วัน สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 1 พันล้านชุด ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และระบบปฏิบัติการ Windows 95 ก็กลายเป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดทั่วโลก …

              หลังจากนั้น ไมโครซอฟท์ได้กำหนดจะเปิดตัว Windows 98 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการตัวใหม่ต่อจาก Windows 95 ซึ่งได้รวมเรา Web Browser คือ Internet Explorer ไว้ โดยกำหนดการออก Windows 98 ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 1998
              แต่ไมโครซอฟท์ ไม่สามารถออก Windows 98 ได้ทันตามกำหนด จึงได้รับคำตำนิว่า การที่ไมโครซอฟท์ออก Windows 98 ล่าช้ากว่ากำหนดนั้น มีผลก่อให้เกิดความเสียหายกับระบบเศรษฐกิจทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา รวมทั้งปัญหาการตกงานอย่างมาก
             แม้ว่า Windows 98 จะเปิดตัวไปเมื่อเดือนมิถุนายน 1998 ก็ตาม แต่ก็ยังมีคนพูดถึงเรื่องนี้อยู่.. จึงอาจถือได้ว่า ระบบปฏิบัติการนั้น ไม่เพียงมีความสำคัญต่อคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญกับผู้ใช้ด้วย
           อย่างไรก็ตาม แม้ไมโครซอฟท์จะได้พัฒนาระบบปฏิบัติการของตนเองจนกระทั่งถึง Windows Vista ไปแล้วก็ตาม แต่กลับไม่สามารถโน้มใจผู้ใช้ให้คล้อยตามที่จะควักกรัเป๋าตังค์ได้ และ Windows 7 จะสามารถครองใจผู้ใช้ทั่วโลกได้อย่าง Windows 95 หรือไม่นั้น จะต้องติดตามกันต่อไป

พระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง กับการรอดชีวิตจากวิบากกกรรม

         ผมไม่เคยคิดว่าการเคร่งเครียดกับการปฏิบัติธรรมจะก่อให้เกิดสภาพจิตหลอน เพราะเชื่อว่า หากเราตั้งใจทำทาน รักษาศีล และนั่งบำเพ็ญสมาธิ อย่างหนักและต่อเนื่องโดยที่เรายังไม่มีภูมิต้านทาน "โลกแห่งวิญญาณ" นั้นจะส่งผลให้เรากลายเป็นคนบ้า ในสายตาคนรอบข้าง บ้ายังไง….. อาการเช่น คิดว่าตัวเองเกิดเป็นโน่น เป็นนี่ มีของวิเศษเหนือคนอื่น คุยกับวิญญาณได้ด้วยจิต จนทำให้เกิด อาการนั่งเม่อ และคุยอยู่กับตนเองคนเดียว ชอบทำอะไรแปลกๆในสายตาคนอื่น แล้วบอกว่า "นี่คือปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน"….
 
          แต่เชื่อไหม วิบากกรรมครั้งนี้ แทนที่เราจะต้องนอนโรงพยาบาล หรือสูญเสียเงินทางกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง..กลับกลายเป็นว่า วิบากกรรมทำบุญ….เพราะอะไร?? ผมตื่นมาทำวัตรเช้าตั้งแต่ตี 4 ทุกวัน นั่งสมาธิต่อและออกมาตักบาตร….กลางวัน รักษาศีลที่บ้านโดยไม่ไปไหน..ตกเย็น ทำวัตรเย็น..และเดินจงกลม เป็นเวลาต่อเนื่องกันเป็นเดือน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็น อย่างเก่งก็สวดมนต์ และนั่งสมาธิช่วงกลางคืนโดยใช้เวลาเพียงประมาณ 45 นาทีต่อวัน แต่ช่วงวิบากกรรมเข้าแทรกนั้น ผมอยู่กับห้องพระ กินเวลาเกือบทั้งวัน…
 
          ยังถือว่า พอจะมีวาสนา..เพราะในระหว่างนั้น ผมชอบไปปิดทองพระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง เพราะสวดพระคาถาชินบัญชรถวายท่าน..เงินทองที่ได้มาหลายหมื่น ต่างหมดไปกับการเช่าพระ และทำบุญ..แล้วก็นำพระมาสวดมนต์ที่บ้าน…ผมมีห้องพระเป็นรูปร่าง จากวิบากกรรมนี้….แถมยังมีพระเจ้าใหญ่อินทร์แปลงรุ่นปี 47 หน้าตัก 9 นิ้วอีก 1 องค์ พร้อมทั้ง พระอรหันต์สาวก และเทพอีกหลายองค์ พร้อมเพรียงกัน….
 
                                                                      
 
 
         สิ่งที่ผมได้เป็นของแถมอีกอย่างคือ "การสัมผัสวิญญาณ" เป็นสัมผัสที่ 6 ที่เพื่อนๆผม และคนที่บ้านไม่มี…ไปที่ไหนก็เจอแต่วิญญาณรอบตัวไปหมด…แต่อย่างว่าแหละ สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่แล้ว และนำมาซึ่งคำว่า ธรรมชาติ มันเป็นของมันอย่างนี้ๆ….
 
          ของแถมดังกล่าว อาจารย์ผมไม่ได้สรรเสริญแต่ประการใด เพราะถ้าเราไปใส่ใจกับวิญญาณมากไป เราก็จะกลับกลายเป็นเหมือนคนทรงเจ้า เข้าสิง…ซึ่งสำหรับผมแล้ว…ของแถมนี้ขอผ่าน..ไม่ไหวหากปะทะกับกลุ่มวิญญาณจำนวนมาก มักก่ออาการง่วงนอนและเจ็บหน้าอก ..แถมพอเรารู้ว่าเขาอยู่ตำแหน่งไหน ยิ่งจะกลายเป็นว่า เราหันหน้าตามอะไรไป…ซึ่งต่างจากคนปกติ
 
           บารมีของพระเจ้ใหญ่อินทร์แปลงช่างอบอุ่นนัก ผมไปวัดป่าใหญ่หลายครั้งเพื่อไปกราบพระเจ้าใหญ่ และผมก็เชื่อว่า ที่ผมหายจากอาการผีบ้าครอบตนนี้ได้ ส่วนหนึ่งได้แก่ ความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าใหญ่ท่าน รวมถึง คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงค์ ครูบาอาจารย์ และเทพเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์…ให้ผมพ้นจากวิบากกรรมนี้อย่างรวดเร็ว
 
 
 
 
.

การขอขมาครูบา อาจารย์ครั้งใหญ่

      หลังเหตุการณ์วันนี้ไป จะเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์แห่งการปฏิบัติธรรมของผม เพราะหลังจากจิตหลอน และยังมีการนำวิญญาณเข้าบ้านโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตอนนอน แอบจ้องมาทำร้ายเราทุกคืน …..

       ผมนอนไม่ค่อยอิ่ม และเพลียต่อเนื่องกันเป็นเดือนโดยไม่รู้สาเหตุ การตกเป็นเหยื่อของการถูกครอบโดยวิญญาณที่แรง ทำให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ นำเอาของอัปมงคลเข้าบ้าน เข้ามาบูชา เสียเงินทองไปโดยไม่รู้ตัวอีกมากมาย และที่สำคัญ วิญาณเหล่านี้มาเป็นฝูง ผมเกิดอุบัติเหตุเพราะถูกไม้ทิ่มที่ข้อมือ มีเลือดไหลซิบๆ ตกกลางคืน วิญญาณเหล่านั้นมาเลีย และขอกินเลือด…..นี่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้..
      ผมไม่อยากจจะจำสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะนี่คือ "การดวงตก ทำผิดต่อครู อาจารย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นาๆ" และ นี่คือที่มาของการขอขมาครั้งใหญ่
……."สิ่งใดที่ข้าพเจ้าเคยประมาท พลาดพลั้ง กระทำการล่วงเกิน ต่อพระรัตนตรัย บิดา-มารดา ครูบา อาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งทาง กาย วาจา ใจ ทั้งรู้เท่าถึงการณ์ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งเจตนา ไม่เจตนาใดๆ ข้าพเจ้าขอขอมา พระรัตนตรัย บิดา มารดา ครูอาจารย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และโปรดอโหสิกรรม แก่ข้าพเจ้าด้วย"…..

จิตหลอน วิบากกรรมอันเลวร้ายของผม

           หากผู้ใดกำลังฝึกนั่งปฏิบัติธรรม และกำลังเกิดสภาวะที่เค้าพากันเรียกว่า "สมถะแนบแน่น" ช่วงนี้สำคัญมากๆ เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยว หัวต่อ ว่าจะเดินถูก หรือ ผิดทาง
         การที่เราจะเกิดสมถะแนบแน่น หมายถึงว่า การปฏิบัติสมาธิ และนั่งภาวนาจนกระทั่งสภาพจิตรวมกันเป็นหนึ่ง ซึ่งในขณะนี้ มักจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกาย เช่น วัตถุทุกสิ่้งเหมือนมีแม่เหล็ก ตัวเราสามารถรับพลังแห่งแม่เหล็กนี้ได้แทบทุกชนิด แถมยังมีอีกอย่าง คือ เหมือนมีใครบางคนมาคอยหันซ้าย หันขวาให้เราเอง โดยที่เราไม่ใช่ตัวเรา จะเดิน นั่ง นอน หรือทำอะไร ก็เหมือนมีใครบางคนมาคอยชี้นำ พูดง่ายๆ เหมือนเราเป็นร่างทรง และจะเกิดอาการจิตหลอน
       คำว่า อาการจิตหลอน คือ มักจะรู้สึกกับตัวเองว่า มีเสียงใครมากระซิบข้างหูตลอดเวลา และอาจจะเกิดอาการฝัน แล้วมีนิมิตต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทำให้เรากลับกลายเป็นว่า ทำอะไรเพี้ยนๆ ที่ผิดปกติของเราที่เคยทำมา เป็นต้น
      ดังนั้น เขาถึงบอกว่า การฝึกสมาธิต้องมีอาจารย์คอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่เช่นนั้น เราจะถูกทดสอบจนกลายเป็นบ้าไปในที่สุด ในขณะเดียวกัน ตัวอาจารย์ผู้สอน ก็ต้องมีประสบการณ์และรู้จริงในเรื่องนั้นๆด้วย สามารถเติม หรือสลายวิญญาณที่มากระทบออกได้อย่างบริสุทธิ์จริงๆ ไม่เช่นนั้น จิตจะหลอนทั้งอาจารย์ และศิษย์ เพราะมันมักจะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ต่างๆ มากมาย (แต่มันไม่ใช่ เพราะนั่นคือ จิต หลอกจิต หรือ การสะกดจิตตัวเอง)

   อย่างที่ผมเพิ่งผ่านพ้นมา กว่าจะรู้ว่าตัวเราผิดเพี้ยน และไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็หลงในปรากฏการร์ที่เกิดขึ้น 3 เดือนเต็ม หน้าที่การงาน และคนใกล้ชิด มองเราเป็นคนผิดเพี้ยนไปเลย .. ซึ่ง นี่คือการหลงทาง

     ด้วยเหตุนี้ ต้องอาศัยประสบการร์ของครูบา อาจารย์ที่ท่านผ่านเส้นทางมาแล้ว มาคอยกำกับอย่างใกล้ชิด ไม่เช่นนั้น … เป็นบ้า…..แน่นอน
                       และนี่ คือวิบากกรรมของผมที่เจอเข้ากับตัวเอง และกำลังเสียใจ และเสียดายเวลาที่ผ่านมาอย่างที่สุด ที่ เดินหลงทาง ….