มรรคมีองค์ 8
ทางสายกลาง พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบ และนำไปสู่ความสงบ ญาณ การตรัสรู้ และนิรวาณะ (พระนิพพาน) ทางสายกลางนี้โดยทั่วไปหมายถึง หนทางอันประเสริฐ มีองค์ประกอบอยู่ 8 ประการ
1. สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ เห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ว่าทำดี ได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รู้อริยสัจจ์ 4 หรือ เห็น ไตรลักษณ์ หรือ รู้ อกุศลและอกุศลมูล กับกุศลและกุศลมูล หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท
2. สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ตั้งใจชอบ ความคิดชอบ ความคิดถูกต้อง หมายถึง 3 ข้อ คือ
• อวิหิงสาสังกัปปะ ความดำริในอันไม่เบียดเบียนผู้อื่น
• อัพยาปาทสังกัปปะ ความคิดดำริในอันไม่ผูกพยาบาทป้องร้ายผู้อื่น
• เนกขัมมสังกัปปะ ความคิดดำริในอันจะปลดเปลื้องทางกาม
3. สัมมาวาจา เจรจา หรือวาจาชอบ พูดจาชอบ สำรวมระวังในการพูด
วจีสุจริต 4 คือ
• ไม่พูดคำเท็จทำให้ผู้อื่นเสียหาย พูดแต่คำสัตย์คำจริง
• ไม่พูดส่อเสียด ให้คนอื่นเข้าใจผิดทะเลาะกัน แตกความสามัคคี
• ไม่พูดคำหยาบ
• ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดจาเหลวไหล ไร้สาระประโยชน์
4. สัมมากัมมันตะ การงานชอบ ทำงานชอบ ประพฤติชอบทางกาย
กายสุจริต 3 อย่าง คือ
• เว้นจากความโหดเหี้ยม ฆ่า ทำร้ายผู้อื่น
• เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยการขโมย
• เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ยินดีแต่ในภรรยาของตน (สทารสันโดษ) จงรักภักดีแต่ในสามีของตน (ปติวัตร)
5. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพโดยสุจริต ไม่ผิดกฎหมาย และศีลธรรมอันดีงาม เว้นการค้าขายที่ผิด (มิจฉาวณิชชา 5)
• ค้าขายเครื่องประหาร เช่น อาวุธต่าง ๆ
• ค้าขายมนุษย์
• ค้าขายเนื้อสัตว์ เลี้ยงสัตว์ เพื่อฆ่าแล้วนำเนื้อไปขาย
• ค้าขายสุราน้ำเมา ยาเสพติด
• ค้าขายยาพิษ หรือสารพิษ
6. สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ พยายามชอบ หมายถึงความเพียร 4 อย่าง คือ ปธาน หรือ สัมมัปปธาน 4
• สังวรปธาน เพียรระวัง มิให้ความชั่วที่เป็นบาปอกุศล เช่นความโลภ โกรธ มหลง เกิดขึ้น
• ปหานปธาน เพียรพยายาม ละความชั่วร้ายที่เป็นบาปอกุศลซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วให้หมดสิ้นไป
• ภาวนาปธาน เพียรพยายาม ก่อสร้างความดีที่เป็นบุญกุศลที่ยังไม่เกิดขึ้น เช่นการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
• อนุรักขนาปธาน เพียร รักษาคุณความดีที่เป็นบุญกุศลที่ได้ทำแล้วที่มีอยู่แล้วไม่ให้ลดน้อยลง
7. สัมมาสติ ความระลึกชอบ หมายถึง การสำรวมใจ หรือทำใจให้สงบตามแนวสติปัฏฐาน (ที่ตั้งแห่งจิต) ทั้ง 4
เป็นการพิจารณาให้รู้เห็นเนื่องๆ เพื่อมิให้เกิดความยึดมั่นถือมันในร่างกาย ความรู้สึก จิตใจและธรรม ทั้งที่เป็นฝ่ายกุศลหรืออกุศล กล่าวคือ
สติปัฏฐาน 4
• พิจารณาเห็นกายในกาย (กายานุปัสสนา)ที่เรียกว่า กองรูป พิจารณา ลมหายใจ อิริยาบถ การเคลื่อนไหล ความเกิดดับของร่างกาย เห็นความจริงว่า ไม่มี ตัวตน เรา เขา
• พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา (เวทนานุปัสสนา) กำหนดรู้เรื่องของเวทนา เวทนา คือ ความสุข ความทุกข์และเฉย ๆ ว่าเวทนาเกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่อย่างไร ดับไปอย่างไร
• เห็นจิตในจิต (จิตตานุปัสสนา ) รู้ทันความเคลื่อนไหวของจิต จิตโกรธก็รู้ว่าจิตโกรธ จิตลุ่มหลง จิตหดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
• เห็นธรรมในธรรม (ธัมมานุปัสสนา) คล้ายกับเห็นจิตในจิต อารมณ์ที่เป็นเป้าหมายของใจ การรู้สิ่งที่มีอยู๋ในจิต เช่น จิตมีนิวรณ์ (กามฉันทะ พยาบาทถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ และ วิจิกิจฉา)นิวรณ์เกิดขึ้นในจิต มีอยู่ในจิต ดับไปจากจิต ไม่ว่าจะเป็นกุศลธรรมหรืออกุศลธรรม ก็ให้เห็นความจริงว่าเป็นเพียงสักแต่ว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
สติปัฏฐานนี้เอง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า "เป็นทางเอกหรือทางเดียว เพราะเป็นทางปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามให้พ้นซึ่งความโศกหรือ ปริเทวนาการ เพื่อบรรลุญาณและเพื่อทำพระนิพพานให้ให้ปรากฏแจ้ง"
8. สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นชอบ สมาธิชอบ การเจริญสมาธิตามแนวของฌาน 4
วันเปิดตัว Windows 95
พระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง กับการรอดชีวิตจากวิบากกกรรม
การขอขมาครูบา อาจารย์ครั้งใหญ่
จิตหลอน วิบากกรรมอันเลวร้ายของผม
การที่เราจะเกิดสมถะแนบแน่น หมายถึงว่า การปฏิบัติสมาธิ และนั่งภาวนาจนกระทั่งสภาพจิตรวมกันเป็นหนึ่ง ซึ่งในขณะนี้ มักจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกาย เช่น วัตถุทุกสิ่้งเหมือนมีแม่เหล็ก ตัวเราสามารถรับพลังแห่งแม่เหล็กนี้ได้แทบทุกชนิด แถมยังมีอีกอย่าง คือ เหมือนมีใครบางคนมาคอยหันซ้าย หันขวาให้เราเอง โดยที่เราไม่ใช่ตัวเรา จะเดิน นั่ง นอน หรือทำอะไร ก็เหมือนมีใครบางคนมาคอยชี้นำ พูดง่ายๆ เหมือนเราเป็นร่างทรง และจะเกิดอาการจิตหลอน
คำว่า อาการจิตหลอน คือ มักจะรู้สึกกับตัวเองว่า มีเสียงใครมากระซิบข้างหูตลอดเวลา และอาจจะเกิดอาการฝัน แล้วมีนิมิตต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทำให้เรากลับกลายเป็นว่า ทำอะไรเพี้ยนๆ ที่ผิดปกติของเราที่เคยทำมา เป็นต้น
ดังนั้น เขาถึงบอกว่า การฝึกสมาธิต้องมีอาจารย์คอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่เช่นนั้น เราจะถูกทดสอบจนกลายเป็นบ้าไปในที่สุด ในขณะเดียวกัน ตัวอาจารย์ผู้สอน ก็ต้องมีประสบการณ์และรู้จริงในเรื่องนั้นๆด้วย สามารถเติม หรือสลายวิญญาณที่มากระทบออกได้อย่างบริสุทธิ์จริงๆ ไม่เช่นนั้น จิตจะหลอนทั้งอาจารย์ และศิษย์ เพราะมันมักจะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ต่างๆ มากมาย (แต่มันไม่ใช่ เพราะนั่นคือ จิต หลอกจิต หรือ การสะกดจิตตัวเอง)
อย่างที่ผมเพิ่งผ่านพ้นมา กว่าจะรู้ว่าตัวเราผิดเพี้ยน และไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็หลงในปรากฏการร์ที่เกิดขึ้น 3 เดือนเต็ม หน้าที่การงาน และคนใกล้ชิด มองเราเป็นคนผิดเพี้ยนไปเลย .. ซึ่ง นี่คือการหลงทาง
ด้วยเหตุนี้ ต้องอาศัยประสบการร์ของครูบา อาจารย์ที่ท่านผ่านเส้นทางมาแล้ว มาคอยกำกับอย่างใกล้ชิด ไม่เช่นนั้น … เป็นบ้า…..แน่นอน
และนี่ คือวิบากกรรมของผมที่เจอเข้ากับตัวเอง และกำลังเสียใจ และเสียดายเวลาที่ผ่านมาอย่างที่สุด ที่ เดินหลงทาง ….